30/12/53

ศิลปะสัจธรรม

สัจธรรม หมายถึง ความจริงและความจริงนั้น ต้องเป็น "ธรรม" ด้วย
"ธรรม" หมายถึง ความดี ความงาม

ศิลปะสัจธรรมในมุมมองของฉัน
คือ ความจริงที่เต็มไปด้วยความงดงาม
ไม่ใช่ภาพเขียน ไม่ใช่รูปปั้น ไม่ใช่รูปถ่าย ไม่ใช่บทกวี
ไม่ใช่ความงดงามทางวัตถุ หรือ สิ่งที่แลเห็นด้วยตาเปล่า
แต่...เป็นความงดงามที่สัมผัสได้ด้วยหัวใจ

ศิลปะสัจธรรมที่ฉันสัมผัสได้ด้วยหัวใจเมื่อไม่นานมานี้
คือ...มิตรภาพที่ดีที่มอบให้แก่กัน
อาจจะไม่ใช่มิตรภาพถึงขั้นตายแทนกันได้
แต่...คำว่า "มิตรภาพ" ถ้าเกิดขึ้นที่ไหนก็ย่อมเบิกบานสดใสเสมอ

มิตรภาพไม่ว่าที่ไหนในโลกก็เกิดขึ้นได้
มิตรภาพแม้ในระยะเวลาอันสั้นก็เกิดขึ้นได้
มิตรภาพนำพาความงดงามมาสู่โลกของเรา
ความสงบสุข รอยยิ้ม ความสามัคคี
ความอบอุ่น ลบล้างความเหงาและโดดเดี่ยว
พลังกาย พลังใจ และนำพาสิ่งดีๆอย่างอื่นมาอีกมากมาย

ฉะนั้น...มิตรภาพก็น่าจะเป็นศิลปะสัจธรรมได้

เชื่อไหม?ระหว่างที่ฉันเขียน
ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่ามิตรภาพมีข้อเสียอะไรบ้าง
คิดว่าจริงไหมคะท่านผู้อ่าน?
หรือถ้าเจอข้อเสียช่วยบอกฉันด้วยนะคะ
ฉันยินดีรับฟังเป็นอย่างยิ่งค่ะ


คำว่า "เพื่อน" มีความหมายอันยิ่งใหญ่
บางครั้งสร้างความสดใสสุขสวยหรู
บางครั้งสร้างน้ำตาหยาดพรั่งพรู
คนคุ้นเคย คุ้นกันอยู่ ทำได้ลง

มีมิตรดี...ควรรักษาไว้ให้มั่น
มีมิตรเลว...พาไหวหวั่นอย่าได้หลง
รักษามิตรดีไว้ให้มั่นคง
มิตรภาพ "เพื่อน" ยืนยงอยู่นิรันดร์

แต่งโดย : ณ จิตรภาการ


ความจริงใจคืออะไร

ความจริงใจ คือ อะไร?...ในความคิดของฉัน
ความจริงใจ คือ ความรู้สึกที่ดีที่แท้จริงที่แสดงออกกับคนอื่น
อย่างตรงไปตรงมา เปิดเผย
เป็นความรู้สึกที่ดีต่อกันมากกว่าจะเป็นความรู้สึกในแง่ลบ

สำหรับฉัน...การที่มีใครสักคน
ทำให้รู้สึก หดหู่ จิตใจไม่ดี มากกว่าจะช่วยสร้างกำลังใจ
แม้ว่าถ้อยคำของเขาจะดูดีมีวาทศิลป์อันน่าฟัง
ฉันถือว่านั่นไม่ใช่ความจริงใจ
แต่...เป็นการทำลายแบบมนุษย์ผู้มีศิลปะมากกว่า
ความจริงใจมันต้องก่อพลังงานในรูปพลังงานบวก
ในรูปแบบของการสร้างสรรค์ ไม่ใช่การทำลาย
เหยียบย่ำ หรือ ซ้ำเติม

แต่ก็อีกแหละบางครั้งถ้าความรู้สึกแย่ที่เกิดขึ้น
ก็อาจเป็นไปได้ว่า เพราะ ตัวเราเองที่คิดลบกับคนอื่นก่อนใช่หรือไม่?
ตอนนี้ฉันเองก็รู้ตัวดีว่ากำลังคิดลบ เพราะ รู้สึกแย่เช่นกัน
ความผิดพลาดและความเดือดร้อนมันเกิดขึ้นเพราะตัวฉัน
ฉันโดนลงโทษ ฉันเข้าใจ และน้อมรับผิดแต่โดยดี
แต่...ไม่จำเป็นต้องอ้างความผิดพลาดนั้น
เพื่อจะพยายามทำลายโลกส่วนตัวของฉัน!!

ความจริงใจก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างโฉ่งฉ่าง
ไม่อย่างนั้นคำว่า...ปิดทองหลังพระ..จะมีไว้ทำไม
ถ้าอย่างนั้นคนที่เป็นคนดีแต่ไม่บอกใคร ไม่เปิดเผยให้ใครรู้
ก็กลายเป็นคนไม่จริงใจเพียงเพราะไม่เปิดเผยตัวตนอย่างนั้นหรือ?
 ฉันเชื่อว่าในพงศาวดารคงตกหล่นเรื่องราวของวีรชนผู้กล้าจำนวนมาก

ฉันไม่ได้เอาตัวเองไปเปรียบเทียบว่าตัวฉันเองดีเลิศเหมือนวีรชนเหล่านั้น

ฉันคิดว่าระหว่างการทำผิด กับ ความจริงใจ มันคนละเรื่อง
ฉันทำผิดฉันยอมรับและพร้อมจะปรับปรุงแก้ไข
คนที่ไม่เคยทำผิดคือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย
ฉันไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองว่า
แม้จะผิดเพราะเจตนาดีก็ตาม...เอาเป็นว่าผิดก็คือผิด

 แต่...ความจริงใจและความรู้สึกดีๆที่มีให้คนอื่น
ฉันมีให้ได้เสมอโดยไม่จำเป็นต้องบอกว่าฉันเป็นใคร
ฉันไม่รู้หรอกว่าข้อความเหล่านี้ใครอ่านจะเข้าใจฉันบ้าง
และคนที่มาอ่านไม่จำเป็นต้องเชื่อและคิดเหมือนฉัน

ฉันไม่ได้ต้องการเปลี่ยนความคิดของใคร
เพราะ ความคิดของคนอื่นฉันไปบังคับให้เขาเปลี่ยนไม่ได้
ถ้าเขาไม่อยากจะเปลี่ยน
ฉันแค่อยากระบายความรู้สึกของฉัน
เพราะ ฉันบอกแล้วว่าที่นี่คือบ้านหลังเล็กๆของฉัน
ฉันชอบเขียนไดอารี่และชอบแต่งกลอน

ถ้าเป็นเรื่องราวส่วนตัวมาก
ฉันจะบันทึกลงสมุดส่วนตัวของฉัน
แต่...สำหรับที่นี่ ฉันคิดว่าเรื่องราวบางอย่าง
มันน่าจะเป็นข้อคิดที่ดีได้ นอกจากระบายแล้ว
เป็นการแชร์ความคิดและมุมมอง
เผื่อว่าใครกำลังผจญกับปัญหาหรือเรื่องปวดหัว
เกิดบังเอิญคล้ายๆกัน
แล้วคิดว่าแนวทางของฉันอาจจะเหมาะสม
กับการนำไปปรับใช้กับตัวเอง
ก็ตามสบายเถอะค่ะฉันไม่สงวนลิขสิทธิ์

*******************************
อย่าพยายามทำให้ฉันรู้สึกผิดมากไปกว่านี้
ยิ่งทำแบบนั้นกับฉัน...ฉันต้องยิ่งเข้มแข็ง ยิ่งต้องสู้!
ฉันรู้ว่าคนอ่อนแออยู่บนโลกใบนี้ไม่ได้

ฉันขอโทษและยอมรับผิดอย่างบริสุทธิ์ใจไปแล้ว
ฉันโดนลงโทษอย่างที่สมควรจะโดนแล้ว
ฉะนั้น...ฉันไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดอีกต่อไป

อย่ามาพยายามใช้จิตวิทยาเยี่ยงเด็กน้อยกับฉันแบบนี้อีก
มันไร้สาระ(จริงๆ)...เหมือนคนไม่รู้จักโต
เพราะมันอาจทำให้ฉันเข้าใจผิดคิดได้ว่าสิ่งที่พร่ำบอกว่า
ว่าเป็นความจริงใจที่มอบให้กับฉัน
มันเป็นความจริงใจจริงๆหรือเป็นเพราะความรู้สึกอย่างอื่นกันแน่
บอกตามตรงเพราะตอนนี้ฉันชักไม่แน่ใจแล้ว

ขอให้จบลงด้วยดี...
ด้วยความทรงจำดีๆที่เคยมีต่อกันแม้จะช่วงเวลาสั้นๆ
ไม่อยากจบด้วยความรู้สึกแตกหักเพราะอย่างที่บอกมันไร้สาระ
ไม่อย่างนั้นฉันจะกลายเป็นก็อตซิล่า!!

ปล. ฉันหวังว่าเรื่องราวไร้สาระเหล่านี้จะจบลงส่งท้ายปีเก่า
และต้อนรับปีใหม่แต่เรื่องราวดีๆที่เป็นมงคลเข้ามาสู่ตัวฉันเอง
ขอบคุณทุกท่านที่ทั้งตั้งใจมาและหลงเข้ามาอ่านค่ะ



"ความจริงใจที่ฉันมี
มันคือสมบัติล้ำค่าที่สุดที่อยู่ในตัวฉัน
แม้หลายๆครั้งความจริงใจของฉัน
จะกลับมาทำลายตัวฉันเองแทบปางตาย

แต่อย่างไรก็ดี...อาวุธชิ้นเดียวที่ฉันมี
ไว้ต่อสู้กับโลกอันเลวร้ายก็คือความจริงใจ
ไม่ว่าความจริงใจจะสร้างความเดือดร้อนให้ฉันอย่างไร
ฉันก็คงต้องเก็บรักษามันไว้ให้ดีที่สุด
ตราบจนชีวิตจะหาไม่"

"ธารน้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา
แค่พิศตามองดูก็แลเห็น
ไม่เหมือนใจมนุษย์ดูยากเย็น
ยากแท้หยั่งเห็นถึงตัวตน"

แต่งโดย : ณ จิตรภาการ


28/12/53

แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ

"แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ" สำนวนสุภาษิตไทยที่คุ้นหู
หมายถึง คนที่เข้าไปหาเรื่องตายหรือหาหายนะอย่างโง่เขลา
ที่มา...แมลงเม่ามักตายเพราะชอบบินเข้าไปเล่นไฟ

ขอใช้คำว่า "แมลง" นะคะ
เพราะ แมลงมี 6 ขา ส่วนแมงมี 8 ขา
ส่วนเจ้าสัตว์น้อยที่ชื่อว่า "เม่า" มี 6 ขาค่ะ ก็คงต้องเรียกว่า "แมลง"

ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นเช่นนั้น
เรื่องบางเรื่องรู้ทั้งรู้ว่ายิ่งไปยุ่งกับมัน
ก็ยิ่งเจ็บตัว เจ็บใจ แต่ก็ยังอยากจะไปยุ่งไม่คิดจะหลีกให้ไกล
ฉันเชื่อว่านอกจากฉันแล้วหลายๆคนก็คงกำลังมีอาการนี้เช่นกัน

"กองไฟ" ที่ดูสว่างไสว ให้ความอบอุ่น แสงสีสวยงาม
แต่แท้จริงแล้วถ้าใครหลงใหลจนไร้สติ
กองไฟที่ใครๆเห็นว่ามันสว่างไสว อบอุ่น สวยงาม และมีแต่คุณประโยชน์นั้น
อาจเป็นสิ่งที่เป็นโทษ สามารถฆ่าและทำร้ายตัวเราได้อย่างไม่ทันรู้ตัว
เพราะอย่าลืมว่า...ไฟนั้นมีพลังงานความร้อน
สามารถแผดเผาทำลายทุกสิ่งให้เป็นจุณได้

แต่...ถ้าเราใช้สติไตร่ตรองในการเล่นกับกองไฟ
เราจะได้รับทั้งแสงที่สว่างและความอบอุ่นในเวลาเดียวกัน
ได้รับแต่คุณประโยชน์ที่ดีๆจากกองไฟ
และได้รับความสุขจากกองไฟกองนั้นอย่างแท้จริง

จะว่าไป...สำหรับกองไฟกองนั้น
ฉันเองก็ได้รับประโยชน์ดีๆไม่น้อย
อย่างน้อย เพราะ กองไฟกองนั้นทำให้ฉันมีความคิดริเริ่มในการทำบล็อกนี้
และอีกหลายๆอย่างที่ฉันคิดว่ามันมีประโยชน์มากกว่าโทษ

แต่ตอนนี้ฉันกำลังคิดว่า
แมลงเม่าอย่างฉันกำลังจะตายเพราะแมลงเม่าด้วยกันมากกว่า
เพราะ แมลงเม่าน้อยช่างแสนจะชุกชุมจนบินชนกันเละเทะ
หล่นลงพื้นบ้าง กระเด็นเข้ากองไฟบ้าง
บาดเจ็บกันไปเป็นทิวแถวเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี...แมลงเม่าตัวนี้ตายยาก
สุดท้ายก็บินกลับมาหากองไฟกองนั้นอยู่ดี
แม้ว่ากองไฟจะร้อน แถมยังมีแมลงเม่าบินอยู่รอบๆอย่างชุกชุม
จนแทบจะหาพื้นที่บินอย่างสะดวกไม่ได้ก็ตาม

สรุป...จะโทษใครนอกจากตัวเราเอง
(ที่ยังหลงใหลไปกับกองไฟ)

                                      แมลงค่อมมอมมืดหน้า      นึกไฉน
                               เม่าหมิ่นยินร้ายไฟ                   รุ่งฟ้า
                               เข้าเปลวลวกประลัย                 ลาญชีพ เปล่าเฮ
                               ไฟดังบาปกรรมเกล้า                ลวกผู้พาลเขลา


                ที่มา : โคลงสี่สุภาพประจำภาพในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

นามปากกาของฉัน

นามปากกาของฉัน คือ
"ณ จิตรภาการ"
คนที่เข้ามาอ่านคงสงสัยว่าทำไมถึงชื่อนี้
มีที่มาอย่างไร

มาจากอักษรตัวแรกของชื่อจริงเก่าของฉัน
จิตร เป็นพยางค์แรกของนามสกุลของฉัน
ภา เป็นพยางค์สุดท้ายของชื่อจริงปัจจุบันของฉัน
การ เป็นพยางค์สุดท้ายของชื่อเก่าของฉัน

เมื่อมารวมกันก็เป็น ณ จิตรภาการ
อ่านว่า นอ-จิด-ตระ-พา-กาน
ฉันไม่รู้หรอกว่ามีความหมายว่าอะไร
สำหรับฉัน ฉันชอบนามปากกานี้ของตัวเอง

และหวังว่าสักวันนามปากกานี้
จะมีจารึกชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์หรือพงศาวดารบ้างนะคะ
ในฐานะนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่
(ฝันไกลไปหรือเปล่าเนี่ยะฉัน)


สำหรับกลอนในวันนี้
เป็นกลอนที่ไม่สอดคล้องกับบทความข้างบนนะคะ
วันนี้อยากนำเสนอกลอนตามใจตัวเองค่ะ

"มองท้องฟ้า...แน่นิ่ง...ถิ่นสงบ
จะค้นพบบางสิ่งไม่คาดฝัน
อ๊ะ!...นั่น มันมาเป็นพันๆ
ฝูงค้างคาวออกจากถ้ำไงจ๊ะเธอ"

 
"เพราะเธอ...ทำให้ฉันมีพลัง
เพราะเธอ...ทำให้ฉันมีความหวัง
เพราะเธอ...ทำให้ฉันมีความมุ่งมั่น
เพราะเธอ...ทำให้ฉันต้องก้าวไป"


แต่งโดย : ณ จิตรภาการ


25/12/53

MERRY CHRISMAS 2010

เทศกาลคริสมาสต์เป็นเทศกาลฝรั่งที่ฉันชอบมาก
เพราะเป็นเทศกาลที่ดูมีสีสัน สวยงาม คึกคัก สนุกสนาน
ที่สำคัญฉันชอบคุณลุงซานต้าครอส

นอกจากจะชอบเทศกาลนี้แล้ว
ฉันยังชื่นชอบภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับวันคริสมาสต์และซานต้าครอสด้วย
คงเป็นเพราะบางทีฉันอาจจะยังมีหัวใจที่เป็นเด็กอยู่ล่ะมั้ง
เลยชอบอะไรแบบนี้เป็นพิเศษ

สำหรับวันนี้เป็นวันคริสมาสต์อีฟ
ฉันขออวยพรให้ทุกคนบนโลกใบนี้ รวมทั้งตัวฉัน และสรรพสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลาย
จงประสบแต่ความสุข ชีวิตเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
พบเจอแต่สิ่งดีๆ คนดีๆ ทั้งมิตรและคนรัก ร่ำรวยด้วยทรัพย์สิน มากล้นด้วยกำลังใจ
คิดสิ่งใดสมปรารถนา และสุขภาพร่างกายแข็งแรงนะคะ



สนุกสนานครื้นเครงในเทศกาล
แสนสำราญเบิกบานกับของขวัญ
ครอบครัวหรรษาพร้อมหน้ากัน
เป็นอีกวันที่แสนน่ายินดี

แม้คริสมาสต์นั้นเป็นงานของฝรั่ง
แต่...พี่ไทยก็ยังร่วมสุขี
จะเป็นไรหากเป็นงานน่าเปรมปรีดิ์
ถ้า happy I agree with you ^o^


แต่งโดย : ณ จิตรภาการ
 
 

22/12/53

บทอาเศียรวาท

ฉันเคยแต่งบทอาเศียรวาทถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯอยู่บทหนึ่ง
จริงๆฉันน่าจะเขียนถึงเรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้
โดยเฉพาะในวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา
แต่...จะเห็นว่าบล็อกของฉัน ก็เพิ่งจะเริ่มเป็นตัวเป็นตนหลังวันที่ 5 เช่นกัน
เอาเป็นว่าอย่างน้อยก็เขียนภายในเดือนธันวาคม
ยังคงอยู่ในเดือนเกิดของพระองค์ท่าน
คงไม่เป็นอะไรที่สายเกินไปนะคะ

บทอาเศียรวาทบทนี้
เป็นบทอาเศียรวาทที่ฉันเคยแต่งให้กับหน่วยงานเก่าของฉัน
ฉันนำมาปรับคำนิดหน่อยเพื่อให้เหมาะสม
สำหรับมาใช้ในพื้นที่บล็อกส่วนตัวของฉัน
ปกติฉันมักจะแต่งบทกลอนด้วยถ้อยคำง่ายๆ พื้นๆ ความหมายชัดเจน
แต่...บทอาเศียรวาทบทนี้เป็นการแต่งบทประพันธ์ที่
ต้องเปิดพจนานุกรมกันเลยทีเดียว
สำหรับฉันแล้วถือเป็นบทกลอนชิ้นเอกของฉันอีกชิ้นหนึ่ง



ธ ทรงเป็นมิ่งขวัญไทยทั่วหล้า
ธ ทรงเป็นดุจแผ่นฟ้ามหาศาล
ธ ทรงเป็นปิ่นธเรศไท้ภูบาล
ธ ทรงเป็นนฤนาถกษัตริย์ไทย

น้อมประณตบูชาเหนือเศียรเกล้า
กราบแทบเท้าบังคลากาลกษัย
ทีฆายุโกโหตุ ภูมิไผท
ถวายพระพรชัย ทรงพระเจริญ

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า
ผู้จัดทำ http://pokpoknoodle.blogspot.com/


แต่งโดย : ณ จิตรภาการ

21/12/53

จินตนาการจากบทเพลง

ท่านผู้มีเสียงเพลงในหัวใจ
เคยไหมคะ ที่เวลาเราฟังเพลง ยิ่งเป็นเพลงที่ตัวเองชอบ
เรามักจะมีจินตนาการหรือมีความรู้สึกร่วมไปกับบทเพลง
หากเป็นเพลงที่มีเนื้อร้องด้วยแล้ว
จะสามารถจินตนาการถึงเรื่องราวที่น่าจะเกี่ยวข้องกับบทเพลงได้ง่ายขึ้น

แล้วเคยฟังเพลงที่มีแต่ดนตรีไหมคะ
แนะนำว่าลองหาเพลงบรรเลงที่มีจังหวะสบายๆ
ไม่ใช่จังหวะอึกทึกโครมคราม เย้วๆ ชวนปวดหัวนะคะ
ล่าสุดที่ฉันฟัง ฉันได้รับคำแนะนำจากบุคคลท่านหนึ่ง
เป็นเพลงบรรเลงสไตล์มองโกลเลีย
โดยผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีของชนชาติตะวันออกกับกีตาร์ไฟฟ้าแบบตะวันตก
ซึ่งเป็นอะไรที่ลงตัวมาก...ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลาย
ที่สำคัญทำให้สมองปลอดโปร่งจนฉันสามารถแต่งบทกวีขึ้นมาได้
เพราะเป็นบทเพลงที่ไร้ซึ่งเนื้อร้อง
จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดจินตนาการได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ไร้ซึ่งขอบเขตใดใด
บทกวีที่ฉันเขียนมันจึงเป็นไปตามใจปรารถนาของฉันเอง

จริงๆแล้วฉันไม่ได้มีความรู้เรื่องดนตรีอะไรมากมายหรอกค่ะ
วิจารณ์ตามความรู้สึกของตัวเองล้วนๆ
ถ้าอยากรู้ว่าดนตรีแบบนี้มีลักษณะอย่างไร ท่วงทำนองผ่อนคลายแค่ไหน
ก็ลองฟังดูได้จากคลิปด้านล่างนี้นะคะ

ไม่แน่นะคะ...อะไรก็ตามที่คิดไม่ออก
อะไรก็ตามที่ยังหาทางออกไม่ได้
อยู่ๆมันอาจจะมีความคิดหรือไอเดียบรรเจิดแว้บเข้ามาในสมอง
อย่างที่ตัวเราคาดไม่ถึงก็ได้




"ฟังเพลงบรรเลงชื่นชูจิต...
ปล่อยความคิดลอยไปใฝ่ฝันหา
จินตนาการสุดถวิลถิ่นมายา
ตระการตา ณ กาลเวลาที่หาไม่เจอ"


"กาลเวลาที่ไม่มีใครมองเห็น
ลมพัดเย็นเป็นใจดังปรารถนา
แดดอ่อนๆแผ่ซาบซ่านพสุธา
ระบำต้นหญ้าพริ้วไสวดังสายนที

หลับตาพริ้มอิ่มเอมใจใต้ต้นไม้
แสนสบายเหม่อมองไปตามวิถี
ไร้เขต...ไร้พรมแดน...ไร้วจี
ติดปีกหนีปลดปล่อยพันธนาการ"

แต่งโดย :  ณ จิตรภาการ

19/12/53

คนเหนือคน

ชื่อเรื่องวันนี้ มาจากหนังสือเล่มหนึ่ง
ที่ฉันได้รับแจกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
เป็นหนังสือที่แจกให้กับทุกคนที่ไปลงนามถวายพระพร
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช"
ที่โรงพยาบาลศิริราช
แจกมาพร้อมกับปฏิทินพกที่มีพระบรมฉายาลักษณ์
ของ สมเด็จย่า ในหลวง สมเด็จพระพี่นางเธอฯ และ สมเด็จพระเทพฯ

เป็นหนังสือที่ดีมาก มีข้อคิด มีสิ่งที่คอยเตือนสติ คอยสอนใจ
ให้เรารู้จักใช้ชีวิต อย่างมีคุณค่า ยึดมั่นในจริยธรรม ศีลธรรม ความดีงาม
ไม่ใช่แค่ใช้ชีวิตให้เอาตัวรอดไปวันๆเท่านั้น

ชื่อหนังสือ "คนเหนือคน" ก็มีความหมายที่ดี

เกิดเป็นคนก็นับว่าดีแล้ว
แต่...การเกิดเป็นคนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต
ทั้งกายและใจนั้น มันมีองค์ประกอบมากมาย
ไม่ว่า ความดี ความฉลาด ความมีปัญญา ความเมตตา ความอดทน ฯลฯ
ในหนังสือเล่มนี้เป็นแนวทางที่ดี
ให้กับทุกคนที่บางครั้งยังไม่เข้าใจในวิถีการดำเนินชีวิต
หรือยังมองไม่เห็นค่าของตัวเอง หรือคนที่อาจจะยังหลงทางในชีวิตอยู่
ให้กลับมาเข้าใจตัวเองและใช้ชีวิตได้ถูกต้องมากขึ้น

"ให้กลายเป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา"

ฉันคิดว่าเป็นหนังสือที่อ่านเข้าใจง่าย
เป็นหนังสือเล่มเล็กๆกระทัดรัด ไม่เล็กมากไปและไม่ใหญ่เทอะทะ
มีหลายสิบหน้าให้นั่งอ่านได้เพลินๆในช่วงเวลาว่างๆ
หรือช่วงเวลาที่อาจกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง

เนื้อหาวันนี้ฉันขอยกตัวอย่างข้อคิดที่น่าสนใจ
ในหนังสือเล่มนี้มาสักหนึ่งตอนจากหลายๆตอนนะคะ



"จงเป็นคนมองโลกในแง่ดี และอยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบันให้มากที่สุด
มองหาความสุขที่แวดล้อมตัวอยู่ทุกๆวันให้พบ เพราะความสุขนั้นมีอยู่แล้ว
ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองเห็นหรือไม่เท่านั้น

พลังแห่งความคิดคนเรานั้น สามารถผลักดันให้คนๆนั้นเป็นไปตามที่คิดไว้ได้
พลังความคิดนี้ถ้าใช้ในทางที่ถูกจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้มหาศาล
แต่ถ้าใช้ผิดทาง ผลที่ได้รับนั้นไม่คุ้มค่าเลย

พลังความคิดจะเป็นเสมือนเข็มทิศชี้ทางให้เราไปสู่สิ่งนั้น
พลังความคิดจะคอยผลักดันให้เราไปสู่แนวทางที่คิดไว้
ชีวิตของคนเรามักโน้มเอียงไปสู่สิ่งที่เราคิดถึงเสมอๆ

ดังนั้นความรู้ดีที่สุด คือ การยอมรับว่ามีเรื่องอีกมากมายที่เรายังไม่รู้
ด้วยการยอมรับเช่นนี้จึงเป็นเหตุให้เกิดการใฝ่รู้
และอยากแสวงหาความรู้เพิ่มขึ้นต่อไปอีก

ด้วยความไม่เข้าใจในสภาพธรรมที่ล้อมรอบตัวเรา
เราจึงมักจะยอมจำนนอยู่เสมอ การยอมรับ กับ ยอมจำนน
ต่างกันตรงผลที่ติดตามมา การยอมรับด้วยความเข้าใจในเหตุผล
ย่อมทำให้จิตใจเบาสบาย แต่การยอมจำนนนั้น เป็นการฝืนใจรับ
มีผลติดตามมาเป็นความทุกข์ของจิตใจ ทำให้ใจรู้สึกอึดอัด
ไม่พอใจ ไม่แจ่มใส และเกิดโรคทางกายได้ง่ายด้วย
เป็นอาการแทรกซ้อนที่เกิดจากการเก็บกด อารมณ์ทุกข์ร้อนหม่นหมองไว้นานๆนั่นเอง

ทุกๆชีวิตย่อมมีความทุกข์เสมอ ไม่มากก็น้อย
ทุกชีวิตมีความทุกข์เพราะทุกชีวิตมีปัญหา
ปัญหาไม่ได้เกิดจากการทำงานมาก หรือทำงานน้อย
คนอยู่เฉยๆไม่ได้ทำอะไรเลย อาจมีปัญหาชีวิตมากกว่าคนที่ทำงานมากๆก็ได้
แต่...ปัญหาก็มีประโยชน์ เพราะ ทำให้เกิดปัญญาและเกิดความสำเร็จได้
จึงไม่ควรกลัวปัญหา และหนีปัญหา"

ที่มา : หนังสือคนเหนือคน หน้าที่ 19-20

16/12/53

คนเยอะเรื่องแยะ

ฉันเป็นคนชอบความสงบ
ไม่ชอบอะไรที่วุ่นวาย แม้ว่าจะไม่ชอบความซ้ำซากจำเจ
ชอบอะไรที่มีรสชาติก็เถอะ
แต่...พอเอาเข้าจริง ณ ช่วงเวลาหนึ่ง
เวลาแห่งความสงบและความเป็นส่วนตัว
ฉันก็มักกลับไปสู่จุดนั้นเสมอ

ระยะเวลาที่ผ่านมาในช่วงเวลาสั้นๆ
ฉันได้ไปอยู่ในวังวนแห่งความวุ่นวายนั้น
ตอนแรก ฉันกลับตกเป็นเหยื่อของวังวนนั้นเสียเอง
เจ็บใจ เสียใจ น้อยใจ จิตใจได้แผลเล็กน้อย
แต่ตอนนี้ฉันออกจากวงโคจร
มานั่งดูวังวนนั้นอยู่รอบนอกอย่างเงียบๆ
จึงสัมผัสได้ว่า อืม...มันช่างวุ่นวายชะมัด
สงสารคนที่ต้องควบคุมสิ่งเหล่านั้นให้เข้าที่เข้าทางจริงๆ


"คนเราต่างสมอง
ต่างพวกพ้อง...ต่างนิสัย
แต่ละคนไม่เหมือนใคร
ต่างหัวใจไม่เหมือนกัน"


"เหนื่อยกับผู้คน
ผจญกับความคิด
จนวิตกจริต...
โอ้!!ชีวิตของกู"

แต่งโดย : ณ จิตรภาการ

15/12/53

หน้ากากดอกซ่อนกลิ่น

เคยได้ยินประโยคที่ว่า "หน้ากากดอกซ่อนกลิ่น" ไหมคะ
คลับคล้ายคลับคลาว่ามันจะเป็นชื่อนวนิยายมากกว่า
มนุษย์เราก็เป็นเช่นนั้นแหละค่ะ
ต่างก็สวมหน้ากากเพื่อปิดบังด้านมืดของตัวเอง

น่าแปลกนะคะคนพวกนี้มักเอาตัวรอดในสังคมได้อย่างสบาย

ผิดกลับคนที่มีนิสัยจริงใจ เปิดเผย ใสซื่อ
จะว่าไปนิสัยเหล่านี้น่าจะเป็นนิสัยที่ดี ควรแก่การยึดไว้เป็นคติ
ใครๆน่าจะชอบมากกว่าคนที่นิสัยต่อหน้าอีกอย่างลับหลังอีกอย่าง
เอาเข้าจริงๆคนเราก็ยอมรับความจริงกันไม่ได้
ถ้าเจออะไรที่ตรงๆเกินไปหรือเปิดเผยเกินไป

แต่คนจริงใจ เปิดเผย ใสซื่อ เหล่านี้กลับอยู่ได้ยากในสังคม
แถมยังถูกมองว่าเป็นคนโง่ ไม่มีไหวพริบ
เพราะคนพวกนี้มักไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมมายา
ของพวกมนุษย์ที่สวมหน้ากากจนช่ำชอง
กว่าจะรู้ตัวก็โดนต้มเสียเปื่อยแล้ว....


คนทุกคนล้วนแต่สวมหน้ากาก
แต่งเติมฉากมนุษย์มีราศี
ทำเป็นเหมือนจริงใจว่าตนดี
แต่สุดท้ายก็แค่ผีในร่างคน

เปรียบเป็นผีเพราะผีนั้นชอบหลอก
อยากจะบอกเอาไว้หากฉงน
แต่ผีหลอกยังดีกว่าคนหลอกคน
คนหลอกจนคนชิบหายวายชีวี

แต่งโดย : ณ จิตรภาการ


13/12/53

จงอดทนดุจดั่งดอกไม้ริมถนน


บทกลอนนี้เป็นบทกลอนที่ฉันชอบที่สุด
ในบรรดาบทกลอนที่ฉันแต่งเอง
มันไม่ได้สละสลวยไพเราะเพราะพริ้ง
ดุจบทประพันธ์จากกวีผู้มีชื่อเสียง

แต่...บทกลอนนี้ได้รับแรงบันดาลใจ
มาจากการเห็นสิ่งรอบๆตัว
สิ่งที่ทุกคนมองข้ามและคิดว่ามันไม่สำคัญ
หากเมื่อเรามองให้ลึกซึ้ง
เราจะเห็นว่าสิ่งสิ่งนั้นได้ซ่อนความหมายไว้ให้เราขบคิดมากมาย
ตามแต่ใจเราจะคิด ตามแต่ใจเราจะตีความ

และนี่คือการตีความของฉัน


ดอกไม้ริมรั้วต้นสูงใหญ่
ดูสง่าสดใสเป็นนักหนา
แดด...ฝน...ลม...ฝุ่น เจ้าเจอมา
เจ้าก็ยังงามสง่าทุกนาที

ดังเฉกเช่นชีวิตของมนุษย์
ยามเมื่อทุกข์เศร้าโศกไร้ราศี
ดังเหมือนเจอมรสุมแห่งชีวี
คิดให้ดีแล้วจงฝ่ามันออกไป

เมื่อนั้นจะเข้มแข็งและแกร่งกล้า
ความเหนื่อยล้าที่ผ่านมาความอ่อนไหว
ความท้อแท้สิ้นหวังจางหายไป
ดั่งดอกไม้สวยสดใสริมรั้วเอย

ผู้แต่ง : ณ จิตรภาการ